ในโลกปัจจุบันที่คนเป็นแม่ต้องชั่งใจว่าจะลาออกมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้านเพื่อให้มีเวลาอยู่กับเจ้าตัวน้อยอย่างเพียงพอ หรือจะใช้เวลานี้ออกไปทำงานหาเงินมาหล่อเลี้ยงครอบครัวนั้น คำตอบอาจเป็นว่าการเลี้ยงลูกเองย่อมดีกว่าการออกไปทำงานแล้วฝากลูกเอาไว้กับคนอื่นค่ะ เพราะมีผลการศึกษาหนึ่งออกมาระบุว่า การที่เด็กต้องอยู่ห่างพ่อแม่นานหลายชั่วโมงมีความเชื่อมโยงกับพฤติกรรมไม่ดีที่จะเกิดตามมา
กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยนี้อยู่ในสวีเดน ซึ่งปัจจุบัน พ่อแม่ชาวสวีเดนกว่า 9 ใน 10 ส่งลูกวัย 0-3 ขวบไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็ก บ้างก็จ้างพี่เลี้ยง หรือฝากให้เพื่อนบ้านดูแล ขณะที่ตัวพ่อแม่เองต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว
โจนาส ฮิมเมลสแตรนด์ นักวิจัยชาวสวีเดนเจ้าของผลการศึกษาชิ้นนี้เปิดเผยว่าเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือรังแกเพื่อนที่โรงเรียนนั้นมีความเชื่อมโยงกับการอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรืออยู่กับพี่เลี้ยงตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิตโดยตรง ซึ่งนำไปสู่การทบทวนนโยบายของหลายประเทศที่มีการเชิญชวนให้แม่ๆ ออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสถานะของครอบครัว ทำให้ครอบครัวต้องส่งให้ลูกไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงหรือหาพี่เลี้ยงมาดูแล แทนที่จะอยู่กับบ้านเพื่อดูแลลูกเอง
โดยข้อมูลในงานวิจัยเผยว่า ในอดีตระบบการศึกษาของสวีเดนอาจจะดีที่สุด แต่ปัจจุบันอัตราการหนีเรียนของเด็กในสวีเดนสูงสุดในยุโรป เด็กๆ มีพฤติกรรมก้าวร้าวในห้องเรียนมากที่สุด และมีการทำลายทรัพย์สินส่วนกลางของโรงเรียนให้เสียหายมากที่สุด
ส่วนเจ้าของผลการศึกษาชิ้นนี้ ปัจจุบันตัดสินใจย้ายออกจากประเทศสวีเดนแล้ว และได้จัดการเรียนการสอนแบบโฮมสคูลที่บ้านให้ลูกแทนเรียบร้อยแล้ว
จากผลการศึกษาดังกล่าว ทำให้มีพ่อแม่ในประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษเรียกร้องต่อรัฐบาลของประเทศตนให้ทบทวนการกระตุ้นให้แม่ชาวอังกฤษออกไปหางานทำว่าเกรงจะส่งผลเสียต่อครอบครัวเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศสวีเดนก็เป็นได้ เพราะการที่แม่คนหนึ่งจะตัดสินใจกลับไปทำงาน และวางแผนให้ลูกตนเองไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กที่นั้นเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก และการที่รัฐปล่อยให้สถานรับเลี้ยงเด็กมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอที่จะดูแลเด็กๆ จำนวนมากก็ไม่ส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลจากการวิจัยอีกมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ที่สันนิษฐานว่า การให้เด็กเล็กไปเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กอาจส่งผลต่อการเรียนในชั้นที่สูงขึ้น
การศึกษาของฮิมเมลสแตรนด์ พบว่า การทำร้ายร่างกายระหว่างเด็กนักเรียนหญิงชาวสวีเดนเพิ่มสูงขึ้นเป็นสามเท่าเมื่อเทียบกับยุค 1980 ในยุคนั้น ระบบการเรียนการสอนของสวีเดนกล่าวได้ว่าดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ปัจจุบันพบว่า ความสามารถของเด็กในวิชาคณิตศาสตร์อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีสถิติการละเมิดกฎของโรงเรียนสูงที่สุดในยุโรป
อย่างไรก็ดี การมีรายได้ทางเดียว หรือมีคนหาเลี้ยงเพียง 1 คนอาจไม่เพียงพอสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน นั่นจึงเป็นบทพิสูจน์ “กึ๋น” ของคนในรัฐบาลที่จะต้องช่วยตอบว่า สุดท้ายแล้ว จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดกับคนในประเทศได้อย่างไร
อ้างอิงจากเดลิเมล
กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยนี้อยู่ในสวีเดน ซึ่งปัจจุบัน พ่อแม่ชาวสวีเดนกว่า 9 ใน 10 ส่งลูกวัย 0-3 ขวบไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็ก บ้างก็จ้างพี่เลี้ยง หรือฝากให้เพื่อนบ้านดูแล ขณะที่ตัวพ่อแม่เองต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว
โจนาส ฮิมเมลสแตรนด์ นักวิจัยชาวสวีเดนเจ้าของผลการศึกษาชิ้นนี้เปิดเผยว่าเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว หรือรังแกเพื่อนที่โรงเรียนนั้นมีความเชื่อมโยงกับการอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก หรืออยู่กับพี่เลี้ยงตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิตโดยตรง ซึ่งนำไปสู่การทบทวนนโยบายของหลายประเทศที่มีการเชิญชวนให้แม่ๆ ออกไปทำงานนอกบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านสถานะของครอบครัว ทำให้ครอบครัวต้องส่งให้ลูกไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงหรือหาพี่เลี้ยงมาดูแล แทนที่จะอยู่กับบ้านเพื่อดูแลลูกเอง
โดยข้อมูลในงานวิจัยเผยว่า ในอดีตระบบการศึกษาของสวีเดนอาจจะดีที่สุด แต่ปัจจุบันอัตราการหนีเรียนของเด็กในสวีเดนสูงสุดในยุโรป เด็กๆ มีพฤติกรรมก้าวร้าวในห้องเรียนมากที่สุด และมีการทำลายทรัพย์สินส่วนกลางของโรงเรียนให้เสียหายมากที่สุด
ส่วนเจ้าของผลการศึกษาชิ้นนี้ ปัจจุบันตัดสินใจย้ายออกจากประเทศสวีเดนแล้ว และได้จัดการเรียนการสอนแบบโฮมสคูลที่บ้านให้ลูกแทนเรียบร้อยแล้ว
จากผลการศึกษาดังกล่าว ทำให้มีพ่อแม่ในประเทศอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษเรียกร้องต่อรัฐบาลของประเทศตนให้ทบทวนการกระตุ้นให้แม่ชาวอังกฤษออกไปหางานทำว่าเกรงจะส่งผลเสียต่อครอบครัวเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นกับประเทศสวีเดนก็เป็นได้ เพราะการที่แม่คนหนึ่งจะตัดสินใจกลับไปทำงาน และวางแผนให้ลูกตนเองไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กที่นั้นเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก และการที่รัฐปล่อยให้สถานรับเลี้ยงเด็กมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอที่จะดูแลเด็กๆ จำนวนมากก็ไม่ส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กแต่อย่างใด
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลจากการวิจัยอีกมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานี้ที่สันนิษฐานว่า การให้เด็กเล็กไปเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กอาจส่งผลต่อการเรียนในชั้นที่สูงขึ้น
การศึกษาของฮิมเมลสแตรนด์ พบว่า การทำร้ายร่างกายระหว่างเด็กนักเรียนหญิงชาวสวีเดนเพิ่มสูงขึ้นเป็นสามเท่าเมื่อเทียบกับยุค 1980 ในยุคนั้น ระบบการเรียนการสอนของสวีเดนกล่าวได้ว่าดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ปัจจุบันพบว่า ความสามารถของเด็กในวิชาคณิตศาสตร์อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และมีสถิติการละเมิดกฎของโรงเรียนสูงที่สุดในยุโรป
อย่างไรก็ดี การมีรายได้ทางเดียว หรือมีคนหาเลี้ยงเพียง 1 คนอาจไม่เพียงพอสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน นั่นจึงเป็นบทพิสูจน์ “กึ๋น” ของคนในรัฐบาลที่จะต้องช่วยตอบว่า สุดท้ายแล้ว จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกิดกับคนในประเทศได้อย่างไร
อ้างอิงจากเดลิเมล